ยินดีต้อนรับ สู่ โลกนิทาน

ยินดีต้อนรับ เรื่องเล่า โลกของนิทาน แลกเปลี่ยน นิทาน เรื่องประสบการณ์กันนะค่ะ

สัตว์ในตำนาน

Cerberus (เซอร์บิรัส)

แปลตรงตัวคือ “สุนัขล่าเนื้อแห่งนรก” นั่นเองครับ มีหลายตำนานที่พูดถึงสุนัขน่ากลัวซึ่งอาศัยอยู่ใต้โลกพวกนี้ ตำนานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ “Cerberus (เซอร์บิรัส)” เซอร์บีรัส Cerberus หรือเคอร์เบรอส Kerberos ชื่อในภาษากรีก
....Cerberusเป็นสัตว์ในตำนานกรีก เป็นบุตรของไทฟอน(Typhon) และอีคิดน่า(Echidna)มีพี่น้องหกตัวได้แก่ ไคเมร่า ไฮดรา สฟริงซ์ นีเมียน ลาดอน(แต่ละตัวนี่ไม่ไช่เล่น)โดยเซอร์บีรัส มีรูปร่างเป็นสุนัขสามหัวตัวใหญ่ แข็งแรงมีหางเป็นงูที่สามารถฉกกัดได้ แต่สำหรับปูไต่คิดว่า เซอร์บีรัสน่ามีหางเป็นงูแน่นอนเพราะเป็นลูกของอีคิดน่า ซึ่งมีรูปร่างเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาแสนสวย แต่ท่อนล่างของนางกับเป็นงูใหญ่จึงไม่ผิดที่เซอร์บีรัสจะมีหางเป็นงู ภายหลังเทพเฮดิส(Hedes)ได้นำเซอร์บีรัสไปเป็นยามเฝ้าประตูนรก มันจึงถือได้ว่าเป็นสัตว์อารักขาประจำตัวของเทพเจ้าเฮดิสเลยทีเดียว ในภาพเห็นตัวแค่นี้แต่จริงในตำนานกล่าวว่ามันมีตัวใหญ่ ถึงไม่เท่ามังกรก็เถอะ เราจะเห็นได้ในภาพยนตร์หรือในวรรณกรรมหลายๆเรื่อง ที่เห็นสุนัขสามหัวตัวใหญ่เฝ้าทางเข้านรก หรือสิ่งของอื่นๆตามจินตนาการของผู้เขียน
ไฮดรา Hydra
ไฮดราเป็นบุตรของ Echidna กับ Typhon มันอาศัยอยู่ในหนองน้ำของเลอร์นา (Lerna) ไฮดราเป็นสัตว์เก้าหัวที่มีพิษถึงตายได้ และมันมีหัวหนึ่งที่เป็นอมตะ ทุกครั้งที่หัวหนึ่งโดนตัดก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ ของบาง เฮอร์คิวลิสฆ่าไฮดราโดยการใช้คบไฟลนตรงแผลที่ถูกตัดจนปิดสนิท เพื่อไม่ให้หัวใหม่งอกขึ้นมาได้ และฝังหัวที่เป็นอมตะไว้ใต้ก้อนหิน
....อสุรกายตัวนี้อาศัย ณ บึงร้างเลอร์นาในอาร์โกลิส เป็นมอนสเตอร์ร่างใหญ่อีกหนึ่งในตระกูลไทฟอน(ยักษ์ร้อยหัว) และ อิคิดนา (นางปีศาจครึ่งคนครึ่งงู) แต่บางเวอร์ชั่นว่าเป็นบุตรของไททันพาลลาส(Pallas)และสติกซ์(Styx เทพีแห่งแม่น้ำแห่งความตายสติกซ์) เป็นพี่น้องกับนีเมียน เคอบีรอส ไคเมรา ลาดอน และสฟิงซ์


ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นแรกเกิดมีขนสีทอง และจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด และขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องแวะกับมนุษย์ และจะยอมให้แม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและรักความสันโดษ เรื่องเล่าของยุโรประบุว่าการจับยูนิคอร์นนั้นต้องใช้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้จับยูนิคอร์น ซึ่งยูนิคอร์นจะลืมสัญชาตญาณป่าเถื่อนและเชื่องราวกับเป็นม้าธรรมดา
การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู

เพกาซัส (อังกฤษ: Pegasus, ภาษากรีก: Πήγασος, เปกาซอส หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ
เพกาซัสเกิดมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า ซึ่งถูกวีรบุรุษเพอร์ซิอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้น เพกาซัสก็กระโจนออกมาจากลำคอของนาง เป็นน้องของคริสซาเออร์ ไม่มีใครสามารถปราบเพกาซัสได้เลยซักคน ตอนที่มันเกิดมาใหม่ ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่าใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมทีเดียว เพกาซัสทำหน้าที่คอยเก็บสายฟ้าให้ซุส
เพกาซัสโดนปราบโดยเด็กหนุ่มรูปงามชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน" (Bellerophon) เบลเลอโรฟอนเป็นโอรสของเจ้าเมืองโครินท์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ซึ่งต่อมาเบลเลอโรฟอนได้ขี่เพกาซัสปราบไคเมร่า

ฟีนิกส์ (Pheonix) เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายนกปรากฏในตำนานของหลายๆชาติในลักษณะที่คล้ายกันแต่แตกต่างกันในบางรายละเอียด ชื่อนี้ได้ระบุขึ้นในตำนานของพวกอียิปต์โบราณก่อนในฐานะของสัตว์เทพในตำนานซึ่งคู่ควรแก่การบูชา ยกย่อง เคารพ เกี่ยวข้องกับเทพแห่งไฟ ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าขนนกของฟีนิกส์นั้นจะออกเป็นประกายเหลืองทองคล้ายเปลวไฟ บ้างก็ว่าปกคลุมด้วยเปลวไฟทั้งตัวทีเดียว 

     นกฟีนิกส์นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ มีชีวิตยั่งยืนนิรันดร์

 ขนาดของนกฟีนิกส์นี้จะมีขนาดเท่านกอินทรีย์ตัวโต จงอยปากและส่วนขาเป็นสีทองประกาย ขนสีแดงถึงเหลืองทอง มีเสียงร้องที่ไพเราะดังเสียงดนตรี เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุเป็นอมตะ รูปร่างสวยสง่างาม บางครั้งหยิ่งผยอง บางครั้งเปี่ยมด้วยความเป็นมิตร...

     บางตำนานเล่าว่านกนี้สามารถฟื้นชีวิตให้กับผู้ตายได้ และสามารถฟื้นพลังทั้งหมดให้กลับสู่ปกติได้ เนื่องจากเป็นสัตว์เวทย์ตัวหนึ่งภายใต้เทพแห่งไฟบางครั้งจะพบว่าสามารถใช้มนตร์ไฟได้ 
      ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่นิสัยอ่อนโยน เพลงของฟีนิกซ์มีเวทมนตร์สามารถกระตุ้นความกล้าหาญ แห่งจิตใจบริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดร้าย น้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลได้

     ฟีนิกซ์นี้เมื่อหมดอายุขัยลงก็จะสลาย ตัวเองกลายเป็นขี้เถ้า และฟื้นคืนชีพกลับมาเกิดใหม่จากกองขี้เถ้าเดิมนั่นเอง... 

  Harpy เป็นอสูรที่เกิดมาจาก Thaumas และ Electra มีพี่สาวที่ชื่อ Iris ซึ่ง Iris เป็นเทพผู้ส่งสารให้แก่ Hera โดยอาศัยสายรุ้งในการเดินทาง โดยสามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรกว้าง หรือมุ่งดำดิ่งลงใต้ทะเล ลึกลงไปในยมโลกได้ไม่ยากเย็น และ Iris นี่เองที่คอยส่งข่าวจากเทพมายังมนษย์ โดยอาศัยสายรุ้งนั่นเอง   ำนานกรีกที่กล่าวถึง Harpy คือตำนานการลงโทษของ Phineas ผู้ปกครอง Thrace เพราะ Phineas เกิดมาด้วยพรจากเทพเจ้า ให้มีอำนาจในการพยากรณ์ แต่ทว่าการเปิดเผยเรื่องราวในอนาคต เป็นการเผยประสงค์จากเทพมากเกินไป นี่เองเป็นเหตุให้ Zeus มหาเทพจอมเจ้าชู้ของเราโมโหอีกแล้วครับท่าน
   ว่าแล้ว Zeus ก็จับ Phineas ไปโยนทิ้งไว้ที่เกาะร้าง กะว่าจะให้เหงาตายก็ง่ายไป Zeus เลยจะลงโทษ Phineas ให้สาแก่ใจ โยการเสกให้มีอาหารการกินมากมายก่ายกอง ที่จะเกิดขึ้นมาเสมอเวลาที่ Phineas หิว แต่ก่อนที่ Phineas จะคว้ามือ หยิบอาหารใส่เข้าปากไปได้ ทันใดนั้นเอง Harpy จะโฉบมาคว้าเอาอาหารที่อยู่ในมือ Phineas ไปกินซะเกลี้ยง จะกี่ครั้งกี่ครั้งอาหารก็จะโดนแย้งเอาไปกินจนหมด

เงือก เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มีส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา ในหลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย

เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบ
อังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส
และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย
มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติก
ของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา) 


ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบ
ที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศ
ออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง 

ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง 
ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำ
ที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง 
ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล 

   แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณ
ในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกาย
เป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา) 

โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลา
เช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) 
เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ 
เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล 
ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก 

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก
กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยง
กันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนางเงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น